


ตอนใต้ของประเทศอินเดีย ที่เรียกขานกันว่า ทมิฬนาดู Tamil Nadu 3-4 ชั่วโมง จากสนามบิน ชาไน Cnannai มาถึง อำเภอ มาดูไร Madurai เมืองแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ที่รายรอบด้วยศาสนสถานอันเก่าแก่อายุนับพันปี เมืองแห่งเทวสถานพราหมณ์-ฮินดู และยังเป็นดินแดนแห่งมังสวิรัติ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร รถเข็น เพิงผ้าข้างทาง อาหารส่วนใหญ่แทบจะไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์หรือแม้แต่ไข่สักฟอง และในบรรดาอาหารหลักๆที่ผู้คนที่นี่นิยมรับประทานกันก็มีอาทิเช่น โดซา (Dosa) อิดลี่ (Idly) วาได(Vadai/Vada) อันเป็นอาหารเอกลักษณ์เฉพาะทางใต้ซึ่งในแต่ละร้านนั้นให้รสชาติที่แตกต่างด้วยส่วนผสมและเครื่องเทศสูตรเด็ดเคล็ดลับแบบฉบับเฉพาะตัว
หน้าตาของ Dosa / Ldly / Vadai เวลามีพิธีกรรมที่วัด จะมีคนมาทำขนมพวกนี้กันสดๆอยู่เสมอ
อำเภอ มาดูไรMadurai เมืองที่มีร้านค้าริมถนนมากมาย ผู้คนพลุกพล่านเดินกันขวักไขว่ ทั้งนักบวชนักแสวงบุญชาวอินเดียเอง สารพัดลัทธินิกาย ฝรั่ง พระสงฆ์ไทย จีน ขอทาน พ่อค้า วัว เกวียน สามล้อ หรือที่เรียกกันว่า ริกชอว์ Rickshaw ผู้ที่ไม่เคยหยุดแหกปากตะโกนถามหาผู้โดยสารกันให้เสียงดังระงมท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าว
สามล้อ ริกชอว์
มาดูไร กับประวัติความเป็นมาอันเก่าแก่ในฐานะศูนย์กลางการค้ามาช้านาน เริ่งตันตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล โดยเฉพาะชื่อเสียงในเรื่องเครื่องเทศ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ของเหล่ากวีชาวทมิฬมาแต่ครั้งบรรพกาล โดยบทกวีส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นสรรเสริญเทวีศรีมีนักชี Meenakshi จวบจนถึงศตวรรษที่ 16 มาดูไร กลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของชาวทมิฬ โดยมี วัดพระศรีมีนักชี เป็นเสมือนศูนย์รวมศรัทธาของชาวทมิฬฮินดู และมีการพัฒนาภาษาพูดของตัวเอง เป็น ภาษาทมิฬ ซึ่งใช้เป็นภาษาหลักในรัฐทมิฬนาดูอยู่อย่างเช่นในปัจจุบัน
Meenakshi Sundareswarar
วัดพระศรีมีนักชี (มีนากะซีวา) Meenakshi Sundareswarar หรือ มีนักซี อัมมาน เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ของชาวฮินดู สร้างขึ้นเพื่อทุ่มเทถวายแด่องค์พระศิวะShiva ในรูปแบบแกะสลักงานแต่งอันลือนาม ศรีซันดาเรสวาราร์Sundareswarar ที่ชาวทมิฬนาดู ภูมิใจนักหนา และความงดงามแห่ง "พระศรีมหามีนักซี" (Meenakshi) หรือเทพธิดาปวารตี Parvati ด้วยโครงสร้างภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมอันซับซ้อน และเป็นสัญลักษณ์สำคัญสำหรับชาวทมิฬซึ่งได้รับการกล่าวขวัญถึงในด้านความเก่าแก่ยาวนานและงดงามอย่างสุดหาที่เปรียบ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของอินเดีย (โดย NDTV.) มีความสูงประมาณ 51.9 เมตร (170 ฟุต) และด้วยแรงศรัทธาที่ผู้คนมีต่อ เทวีศรีมีนักชี นี่เอง จากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 2000 ปี เฉพาะเพียงนักบวชที่เดินทางมากราบไหว้เทวรูปต่างๆ ในวัดไม่ต่ำกว่าวันละหมื่นคน

ประตูใหญ่ของวิหารมีนักซี มีชื่อว่าประตู 8 ผี สลักเรื่องราวของเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ และตำนานต่างๆ รวมถึงตำนานถันที่ 3 ซึ่งหายไปตอนที่พระแม่มีนักซีพบกับพระศิวะ โดยได้ถูกแต่งแต้มสีสันไว้อย่างตระการตาด้วยความเชื่อ โดยไม่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษณ์พื้นผิวของวัตถุในแบบดั้งเดิม
วิหารมีนักซี เป็นเมืองที่อยู่ด้านในของเมืองวิหาร เป็นเช่นกรอบซ้อนๆลึกเข้าไป และยิ่งเข้าใกล้จุดศูนย์กลางเท่าไหร่ก็จะมีความศักดิ์สิทธ์มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะโถง 1000 เสา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิหาร ตามประวัติสร้างขึ้น เพื่อนำทาสหญิงหรือบรรดาสาว ๆ ซึ่งถูกพราหมณ์รวบรวมมา ให้ทำงานเป็นนางระบำสำหรับร่ายรำ แสดงแก่กษัตริย์และเหล่าขุนนาง และเสาเหล่านี้ยังบอกเล่าเรื่องราว ของพระศิวะในรูปของนักบวชยาจก พร้อมด้วยเหล่าภรรยา ซึ่งเข้ามาลุ่มหลงรักใคร่
โดยตามตำนานกล่าวกันว่า มีพ่อค้าชาวฮินดูได้ไปพบกับศิวลึงค์อยู่กลางป่าลึก ซึ่งเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายขององค์พระมหาศิวะ ที่ทรงทิ้งไว้ระหว่างทรงชำระบาปบนพื้นโลก จึงได้นำความเข้ากราบทูลพระราชาแห่งปันดยัน พระนามมาดูไร พระองค์จึงโปรดมีพระกระแสรับสั่งให้สร้างเมืองล้อมรอบเพื่อพิทักษ์ศิวลึงค์นี้ไว้ ส่วนความเกี่ยวข้องกับ เทวีศรีมีนักชี ก็เนื่องจาก เทวีศรีมีนักชี ผู้เกิดมาพร้อมกับความผิดหวังของพระราชบิดา ที่ปรารถนาบุตรชาย และยิ่งไปกว่านั้นพระองค์เกิดมาแปลกประหลาดด้วยมีนม 3 เต้า โดยตามตำนานกล่าวว่า เต้าที่ 3 หายไปตอนที่พระราชบิดายอมอุ้มพระองค์ขึ้นไว้แนบพระอุระ อีกตำนานหนึ่งกลับกล่าวว่า เต้าที่3หายไปตอนประสบพบพักตร์พระราชสวามีนั่นก็คือองค์พระศิวะ ในระหว่างทรงออกศึกบนเขาไกรลาศนั่นเอง และถึงแม้นว่านางจะพ่ายแพ้ในการรบครั้งนั้น แต่ทรงพระปรีดายิ่งนักที่สงครามได้ชักนำพระราชสวามีมาให้นาง เช่นนั้นแล้ว เทวีศรีมีนักชี หรือชื่อที่ชาวทมิฬเรียกกันนี้ แท้จริงก็คือก็คือพระนางปารวตี หรือพระนางอุมาเทวี พระมเหสีของพระศิวะนั่นเอง
Meenakshi
ด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ที่มีผู้กล่าวขาน ชาวทมิฬนับถือเทวีศรีมีนักชีเป็นอย่างสูงสุด ถึงได้มีการพร่ำพรรณนาบทกวีและบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ไว้อย่างมากมาย ยิ่งช่วงของเทศกาลการถือบวช เรามักจะได้เห็นนักบวชชุดดำเดินกันให้ขวั่กไขว่อยู่ในวัด เพื่อประกอบพิธีเคารพรูปบูชาต่อศิวลึงค์ของพระศิวะ โดยนักบวชฮินดูเหล่านี้จะถือบวช เป็นเวลา 41 วันด้วยความเคร่งครัด ปราศจากการกินเนื้อสัตว์ นุ่งห่มชุดดำ และสวดมนต์ทุกๆเช้าตอนย่ำรุ่ง และย่ำค่ำ และในเวลาสองทุ่มของทุกวัน ในวัดจะจัดพิธีบูชา มีพราหมณ์นำขบวนแห่ศิวลึงค์ของพระศิวะ มายังที่ประทับของเทวีศรีมีนักชี ผู้เป็นพระมเหสี ระหว่างพิธีจะแน่นขนัดไปด้วยชาวฮินดูที่เลื่อมใส ดวงตาเป็นประกายภายใต้แสงแห่งพิธีกรรมอันอบอวลด้วยศรัทธาที่แรงกล้า ทุกๆคนจะพนมมือพร่ำสวดวิงวอนเรียกหาสิริมงคลให้กับชีวิตและครอบครัว เมื่อถึงช่วงอันเป็นมงคลก็ต่างพากันรุมล้อมเข้าไปสัมผัสน้ำที่ไหลผ่านองค์ศิวลึงค์ของพระศิวะมาประพรมบนใบหน้า และเมื่อครั้นตอนย่ำรุ่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น พิธีบูชาจะมีอีกครั้งเพื่อเป็นการอัญเชิญพระศิวะกลับไปยังที่ประทับของพระองค์
วัดและเทวสถานต่างๆ avaniyapuram / melatirumanikkam / muthishwarar Speacial Yhanks for www.shaivam.org
ด้วยวัดและเทวสถานที่มีอยู่มากมายใน มาดูไร เบื้องหลังคือชั้นเรียนต่างๆของผู้มาศึกษาศาสตร์แห่งเทวกรรม ทั้งแขกอินเดียเอง ฝรั่ง จีน หรือแม้แต่คนไทย มากหน้าหลายตาคลาคล่ำ ทว่าก่อนที่จะเข้าไปถึงยังห้องเรียนชั้นในนั้น ทุกคนจะต้องท่องบทสวดของเทวะปางต่างๆที่อยู่ด้านหน้าให้ขึ้นใจได้เสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นขององค์พระพิฆเนศวร์ พระศิวะ พระมหาลักษมี ไม่เช่นนั้นแล้ว พราหมณ์ที่มีใบหน้าเรียบเฉยดุดันอยู่ในที ก็จะปล่อยให้นั่งท่องสวดอยู่เช่นนั้นไปเรื่อยๆไม่ยอมปล่อยให้เข้าไปด้านในโดยเด็ดขาด และในบางรายต้องใช้เวลาอยู่หลายๆอาทิตย์หรืออาจเป็นเดือน
แม้แต่ตัว มะ เองยังต้องใช้เวลาร่วมอาทิตย์กว่า จึงจะผ่านพ้นจากปราการด่านนี้เข้าไปศึกษาต่อยังด้านใน ดีที่ว่ามีพื้นฐานมากจากการสวดมนต์ต่างๆตั้งแต่เล็ก และมีบิดา ซึ่งเป็นพราหมณ์มาก่อน แต่กระนั้นก็ยังคงต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คอยช่วยเหลืออยู่ดี อย่างเช่น การอาศัยขอพรจากพระแม่ฯ ให้ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ที่ต้องการมาแสวงหา.. และนับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ในการไปขอพรครั้งที่3 จากองค์พระแม่ฯ องค์ท่านตอบรับด้วยการกรอกลูกตาบนพระพักตร์เทวรูปลงมาจ้องมอง ทำเอา มะ ถึงกับขนลุกซู่ ตัวชาดิกด้วยความปลาบปลื้มปิติ... และช่วงเวลาที่เกิดขั้นนั้นจะจดจำไว้อย่างไม่มีวันลืมเลือน.. "ลูกนัยน์ตาของพระแม่ฯกลมดิกกลิ้งหมุนกรอกไปมาและหยุดจ้องมอง คล้ายๆกับนัยน์ตากลมของนกแก้ว" จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทุกวันนี้ มะ มีความผูกพันกับนกแก้วที่เลี้ยงไว้ในวัด ด้วยเมื่อครั้งใดก็ตามที่ได้สพตา เปรียบเสมือนเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงองค์พระแม่ฯในวันนั้นนั่นเอง....
Jayaveera Anjaneya Swami
วัดศรีจายาวีรา อัณยารณียา Jayaveera Anjaneya Swami 3 กิโลเมตรจากมาดูไร ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง
วัดแห่งเทวรูปพระแม่ฯอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้สามารถเสด็จเข้ามาเยือนในความฝันแก่ผู้ที่ไปสักการบูชา ในแต่ละวันจะมีผู้คนหลั่งไหลเดินทางมาที่นี่จำนวนมาก เพื่อขอพรจากพระแม่ฯ บ้างกลิ้งตัวลงไปกับพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นตลบอบอวล
พราหมณ์ใช้หมากพลู, นมเนย, ไม้จันทน์และแป้งเป็นเครื่องบูชา pujag เช้าเย็น และเดือนแห่งเทศกาลอันมีชื่อเสียง Vinayak Chaturthi, และในวันปีใหม่ของชาวทมิฬ Adi ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม- ด้วยการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่อย่างในเทศกาลพิธีอื่นๆเช่นวัดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั่วไป Brammotsavam, Navarathri, Deepavali, Hanuman Jayanthi, Pongal และที่สำคัญวัดแห่งนี้ยังมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
Speacial Thanks for www.dinamalar.com
3ปี เต็มกับการศึกษาวิชา โดยเฉพาะในเรื่องของเทวกรรม การสวดมนต์ทางสายฮินดู ความรู้สึกนั้นไม่เคยคิดอยากจะกลับมาบ้านเกิดเลยแม้แต่น้อย.. คงเพราะมีแต่ความสุขใจต่อการได้เรียนรู้ในสิ่งต่างๆอันเป็นมงคลของชีวิต และที่นี่เองเป็นโอกาสที่ได้พบกับเหล่าอาจารย์หลายท่าน เช่น อาจารย์วีระยา - อาจารย์อัญยารณี - อาจารย์จากทางประเทศมาเลเซีย ซึ่งต่อมาภายหลังก็มีโอกาสได้ไปร่วมกันสร้างวัดต่างๆกับท่านทั้งหลายอีกด้วย
แม้ว่าวันนี้จะสำเร็จวิชาเทวกรรมมาตั้งแต่ในปี พ.ศ.2534 ทว่าก็ยังคงได้เดินทางกลับไป มาดูไร อยู่ตลอดเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม...ปีละ2-3ครั้งบ้างตามโอกาส และเช่นกับในครั้งนี้ เมื่อเสร็จสิ้น นวราตรี 2552 ก็ได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะออกเดินทางกลับไปยัง มาดูไร อีกครั้งพร้อมกับ อาย่า (กูรกัน รัชมาแนน) เพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและสักการะพระแม่ฯ